รีวิวภาพยนตร์ Dunkirk (2017)
Dunkirk” เป็นภาพยนตร์สงครามที่สร้างโดยผู้กำกับมากฝีมือ คริสโตเฟอร์ โนแลน ซึ่งเปิดตัวในปี 2017 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างล้นหลามทั้งจากผู้ชมและนักวิจารณ์ ด้วยการนำเสนอเหตุการณ์จริงในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ดันเคิร์ก ประเทศฝรั่งเศส ผ่านการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่และมีความลึกซึ้ง โนแลนสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของความสิ้นหวัง ความกล้าหาญ และการอยู่รอดในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้อย่างน่าทึ่ง
เรื่องย่อ
“Dunkirk” บอกเล่าเหตุการณ์จริงในปี 1940 เมื่อทหารฝ่ายสัมพันธมิตรกว่า 400,000 นายติดอยู่บนชายหาดดันเคิร์ก ขณะถูกล้อมโดยกองกำลังเยอรมัน ด้วยความหวังเพียงริบหรี่ การอพยพครั้งยิ่งใหญ่ที่มีชื่อว่า “ปาฏิหาริย์แห่งดันเคิร์ก” จึงเริ่มต้นขึ้น ภาพยนตร์เล่าเรื่องผ่านสามมุมมองหลัก ได้แก่:
บนบก (The Mole) – เล่าผ่านสายตาของทหารหนุ่ม ทอมมี่ (ฟิออน ไวท์เฮด) ที่พยายามเอาตัวรอดและหาทางขึ้นเรือเพื่อหนีออกจากดันเคิร์ก
ในน้ำ (The Sea) – ติดตามการเดินทางของมิสเตอร์ดอว์สัน (มาร์ค ไรแลนซ์) พลเรือนที่นำเรือส่วนตัวเข้าร่วมภารกิจช่วยเหลือทหาร
ในอากาศ (The Air) – โฟกัสที่นักบินรบฟาร์เรียร์ (ทอม ฮาร์ดี้) ที่ปฏิบัติภารกิจป้องกันทหารจากการโจมตีทางอากาศ
จุดเด่นของภาพยนตร์
1. การเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร
หนึ่งในเอกลักษณ์ของ “Dunkirk” คือการเล่าเรื่องที่แยกออกเป็นสามเส้นเวลา: หนึ่งสัปดาห์บนบก หนึ่งวันในน้ำ และหนึ่งชั่วโมงในอากาศ โนแลนสามารถผสานทั้งสามเส้นเรื่องเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ทำให้ผู้ชมต้องติดตามและคาดเดาตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่ใช่รูปแบบการเล่าเรื่องแบบดั้งเดิม แต่กลับทำให้ภาพยนตร์มีความสดใหม่และน่าตื่นเต้น
2. การสร้างบรรยากาศที่สมจริง
โนแลนเลือกใช้เทคนิคการถ่ายทำที่สมจริง โดยเน้นการใช้สถานที่จริงและลดการใช้ CGI ลงให้มากที่สุด การถ่ายทำบนชายหาดดันเคิร์กจริง ๆ และการใช้เรือและเครื่องบินจากยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง ความตึงเครียดและความหวาดกลัวถูกถ่ายทอดผ่านรายละเอียดเล็ก ๆ เช่น เสียงปืน เสียงระเบิด และเสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบินที่น่าขนลุก
3. ดนตรีประกอบของฮันส์ ซิมเมอร์
ดนตรีประกอบของฮันส์ ซิมเมอร์ มีบทบาทสำคัญในการสร้างความตึงเครียดและความรู้สึกเร่งด่วนในภาพยนตร์ ซิมเมอร์ใช้เสียง “Tik-Tok” ที่เหมือนนาฬิกาเดินถอยหลังเพื่อสะท้อนความรู้สึกของเวลาและความกดดัน การผสมผสานระหว่างดนตรีและเสียงเอฟเฟกต์ช่วยเพิ่มความสมจริงและอารมณ์ของเรื่อง
4. การกำกับภาพที่ยอดเยี่ยม
ฮอยต์ วาน ฮอยเตมา ผู้กำกับภาพ ใช้เทคนิคการถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX เพื่อเพิ่มมุมมองที่ยิ่งใหญ่และสมจริง ฉากในอากาศที่ถ่ายทำจากมุมมองของนักบินทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องนักบินจริง ๆ นอกจากนี้ การจัดแสงและสีที่เย็นชา สะท้อนถึงความสิ้นหวังและความโศกเศร้าของสงครามได้อย่างดีเยี่ยม
การแสดงของนักแสดง
“Dunkirk” ไม่มีตัวละครหลักที่เด่นชัดเหมือนภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ แต่การแสดงของนักแสดงทุกคนล้วนมีบทบาทสำคัญในการสร้างอารมณ์และความลึกซึ้งให้กับเรื่อง:
ฟิออน ไวท์เฮด ในบททอมมี่ ถ่ายทอดความกลัวและความหวังของทหารหนุ่มได้อย่างน่าเชื่อถือ
มาร์ค ไรแลนซ์ รับบทมิสเตอร์ดอว์สัน ด้วยความสงบนิ่งและความมุ่งมั่นของพลเรือนที่มีความกล้าหาญ
ทอม ฮาร์ดี้ ในบทฟาร์เรียร์ ใช้การแสดงผ่านแววตาและท่าทาง เนื่องจากเขาสวมหน้ากากเกือบตลอดเวลา แต่ยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม
ธีมและแนวคิดที่สำคัญ
1. ความเสียสละและความกล้าหาญ
ภาพยนตร์สะท้อนถึงความเสียสละของทั้งทหารและพลเรือนที่ร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือผู้คนในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง การแสดงออกถึงความกล้าหาญในหลายรูปแบบ เช่น การต่อสู้อย่างไม่ลดละของนักบิน การเดินทางของพลเรือนที่เสี่ยงชีวิต และการเอาชีวิตรอดของทหาร
2. การเอาตัวรอดในสงคราม
“Dunkirk” ไม่ได้นำเสนอสงครามในมุมมองของชัยชนะ แต่เน้นไปที่การเอาตัวรอดและความสิ้นหวัง ผู้ชมจะได้เห็นว่าทหารและผู้คนในสงครามต้องเผชิญกับความโหดร้ายและการตัดสินใจที่ยากลำบากเพียงใด
3. ความสำคัญของความหวัง
แม้จะเต็มไปด้วยความโหดร้ายและสิ้นหวัง แต่ “Dunkirk” ก็แสดงให้เห็นว่าความหวังและความร่วมมือของมนุษย์สามารถนำพาให้เราผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้
จุดเด่นและจุดด้อย
จุดเด่น
การเล่าเรื่องที่แปลกใหม่และน่าติดตาม
บรรยากาศและการถ่ายทำที่สมจริง
ดนตรีประกอบที่ทรงพลัง
การแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงทุกคน
จุดด้อย
ขาดการพัฒนาตัวละคร: เนื่องจากภาพยนตร์เน้นที่เหตุการณ์มากกว่าตัวละคร ผู้ชมบางคนอาจรู้สึกไม่เชื่อมโยงกับตัวละครมากพอ
รูปแบบการเล่าเรื่องที่ซับซ้อน: สำหรับผู้ชมบางคน การเล่าเรื่องแบบเส้นเวลาแยกอาจทำให้สับสน
สรุปรีวิว
“Dunkirk” เป็นภาพยนตร์สงครามที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นด้วยการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร การถ่ายทอดบรรยากาศและความรู้สึกของสงครามได้อย่างสมจริง ทั้งการกำกับ การแสดง และดนตรีประกอบล้วนผสมผสานกันอย่างลงตัว แม้ว่าภาพยนตร์จะมีจุดด้อยเล็กน้อย แต่ “Dunkirk” ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่น่าชมและสร้างความประทับใจในหัวใจของผู้ชมได้อย่างแน่นอน